“ฌาปนกิจ” มีความหมายว่า ทำให้ไหม้ ซึ่งมีความหมายเฉพาะศพเท่านั้น และจะต้องทำในฌาปนสถานซึ่งเป็นสถานที่สำหรับเผาศพโดยเฉพาะ
1. เผาศพเพื่อให้ศพนั้นสูญสิ้นไป โดยเชื่อว่าหากเก็บศพเอาไว้ก็จะทำให้เกิดการทับถมกันจนล้น และต้องใช้พื้นที่กว้างขวางในการเก็บศพแทนที่จะนำพื้นที่เหล่านั้นไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น
2. เผาศพเพื่อเป็นกุศโลบาย ให้คนที่มีชีวิตอยู่ได้มีโอกาสบำเพ็ญบุญกุศลและพิจารณาถึงความเป็นจริงของชีวิต
1. ก่อนการเคลื่อนย้ายศพไปยังสถานที่ฌาปนกิจ จะนิมนต์พระมาสวดศพอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงทำการเคลื่อนย้ายศพ โดยในสมัยโบราณอาจใช้วิธีการหามหรือในปัจจุบันนี้จะใช้การจูงศพโดยนำโลงศพวางบนรถ ก่อนจะโยงสายสิญจน์จากรถมาให้แก่ญาติและผู้มาร่วมงานได้ทำการจูงศพเข้าสู่ฌาปนสถาน โดยในขบวนจูงศพนี้จะมีพระสงฆ์นำหน้าขบวน จากนั้นก็เป็นลูกหลานหรือญาติพี่น้องที่บวชให้ ญาติคนอื่นๆ รวมถึงเพื่อนฝูงและผู้มาร่วมงานตามลำดับ
2. ก่อนทำการเผาศพ จะมีการทอดผ้าบังสุกุล โดยนิมนต์พระสงฆ์ขึ้นไปบนเมรุเพื่อพิจารณาผ้าบังสุกุล หรือ อาจจะใช้ วิธีการทอดผ้าวางบนด้ายโยงมายังอาสนะสงฆ์แต่ละรูป จากนั้นพระสงฆ์จึงทำการพิจารณาผ้าบังสุกุล
3. ขั้นตอนสุดท้าย จะเป็นการวางดอกไม้จันทน์เพื่อเป็นการส่งผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเริ่มพิธีฌาปนกิจหรือทำการเผาศพ
4. หลังจากฌาปนกิจเสร็จแล้ว จะมีการเก็บกระดูกหรืออัฐิหลังจากเผาศพในวันรุ่งขึ้น ลูกหลานและญาติมิตรจะนิมนต์พระสงฆ์มาสวดและทำพิธีถวายสังฆทานอีกครั้ง ก่อนจะนำอัฐิไปลอยอังคารและเก็บอัฐิบางส่วนเอาไว้ในโกฐิ เพื่อนำไปเก็บรักษาไว้
Cr. romdee.net/funeral-umbrella/cremation/
#พิธี #ฌาปนกิจ #เผาร่าง #อัฐิ #เก็บอัฐิ #ช่องเก็บอัฐิ #โกศ #เก็บกระดูก
ล่าสุด